How Dressing Soothes My Soul

เสื้อผ้าจะช่วยปลอบประโลมหัวใจของคนใส่ได้

เสื้อผ้าจะช่วยปลอบประโลมหัวใจของคนใส่ได้ เพราะสไตล์หาใช่การเล่นแต่งตัวไปวันๆ

บทความโดย Korakot Unphanit, Guest Writer


การแต่งตัวจะช่วยปลอบประโลมหัวใจของคนใส่ได้อย่างไร?

ในฐานะที่เป็นนักเขียนเรื่องสไตล์ นักเล่าสารคดีสายแฟชั่น และคนหนุ่มที่เห็นว่าสไตล์ไม่ใช่แค่การเล่นแต่งตัวไปวันๆ ผมว่าคำถามนั้น เป็นตัวขับเคลื่อนให้ผมยังทำสิ่งนี้อยู่

ในฐานะนักเขียน ผมใช้การเขียนเพื่อหาคำตอบบางอย่างในชีวิต

ในฐานะคนที่มองว่า สไตล์หรือการแต่งกายภายนอกคือเรื่องสำคัญในชีวิตไม่น้อยไปกว่าความคิดภายใน ผมใช้การแต่งกายเพื่อเรียนรู้ว่า ตอนนี้ชีวิตกำลังให้คุณค่ากับอะไร

บทความนี้อาจจะเป็นเรื่องนามธรรมและความคิดเห็นส่วนตัวเป็นส่วนมากนะครับ และเอาเข้าจริงๆ มันไม่มีบทสรุปที่แน่นอนขนาดขึ้นคำว่า ‘อวสาน’ ตัวหราได้ แต่ผมอยากเชิญชวนคนอ่านให้ลองมองเสื้อผ้าในมุมนี้ดูบ้าง

ทำไมในโลกนี้ถึงมีคนที่คิดแล้วคิดอีกก่อนแต่งตัวออกจากบ้าน ขณะเดียวกัน เราก็เดินกระทบไหล่กับคนที่เห็นการแต่งกายของเขาแล้วก็ชวนให้ตั้งคำถามว่า ชีวิตเขาคงมีอะไรให้สนใจมากกว่าการแต่งตัวมากจริงๆ

คุณเชื่อในการมียูนิฟอร์มไหม


ผมจึงแอบเศร้าทุกครั้งครับที่ได้ยินคนใกล้ตัวบอกว่า “ต่อไปนี้ ผมตัดสินใจจะใส่แต่เสื้อยืดสีดำกับยีนส์แล้วครับพี่ คล้ายๆ กับที่ (เอ่ยชื่อบุคคลท่านหนึ่งใน Silicon Valley) ทำ มันง่ายดีที่ตื่นมา จะใส่อะไรก็ไม่ต้องคิด เพราะรู้สึกว่าชีวิตมีเรื่องอื่นที่น่าคิดมากกว่า”

จะบอกว่าเศร้า ก็ไม่เชิงครับ แต่ผมอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามในใจว่า

หนึ่ง ชีวิตเขายุ่งขนาดนั้นเลยหรือ เพราะเท่าที่เห็นคือไม่ได้ยุ่งเท่าคนคนนั้นที่เขาอ้างถึง เอาจริงๆ คือไม่ได้ยุ่งมากไปกว่าผมเลย

สอง เขาแต่งตัวแบบนั้น ไปเผชิญสถานการณ์สำคัญๆ ได้ยังไง

สาม ทำไมเขาจึงเห็นว่า สิ่งที่เหล่าหัวกะทิแห่ง Silicon Valley ทำนั้น มันน่าทำตาม ผมไม่เถียงเลยครับว่าคนเหล่านั้นปราดเปรื่องในระดับที่สามารถกำเอายุคสมัยมาไว้ในอุ้งมือตัวเองได้ และคนเหล่านี้ไม่เคยปล่อยให้เสื้อผ้ามานำบุคลิกของพวกเขาเลย จริงครับ แต่...การแต่งกายแต่ละวันมันไม่สำคัญถึงขนาดที่ว่าเขาไม่อยากจะเสียเวลาแม้แค่ไม่ถึง 5 นาทีเพื่อจะทำมันให้ดีเหมือนที่เขาทุ่มความคิดไปกับงานบ้างเลยเหรอ

สี่ เขา - คือเหล่าคนใกล้ตัวที่เคยบอกคำนี้กับผม และหมายรวมถึงเหล่าหัวกะทิผู้เปลี่ยนโลกเหล่านั้นด้วย - เคยคิดถึงความรู้สึกยามที่คนใกล้ตัวเขาที่อาจต้องใช้เวลาร่วมกันทุกวัน (วันละหลายชั่วโมง) อย่างเช่น ลูก และภรรยา ยามที่มองเขาเข้ามา แล้วเห็นว่าพ่อฉัน สามีฉัน แต่งตัวแบบนั้นอีกแล้ว เคยคิดไหมว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร คือมันไม่ผิดนะครับ เพราะผมเชื่อแน่ว่า คนใกล้ตัวเขาเหล่านั้น รักเขาที่ ‘ตัวตน’ ของเขา ไม่ได้รักเขาที่เสื้อผ้า แต่ผมแค่อยากชวนให้คิดน่ะครับว่า การแต่งตัว มันเริ่มที่ตัวเราเองก็จริง ซึ่งนั่นคือยูนิตที่เล็กที่สุดในสังคม แต่ผลของมัน ไม่ได้จบอยู่แค่กับตัวเราครับ อย่างที่ G. Bruce Boyer เคยกล่าวไว้ทำนองว่า เสื้อผ้า…มันพูดเสมอแหละครับ ความจริงคือ มันไม่เคยหุบปากเลยต่างหาก หายนะจากการแสร้งไม่สนใจฟังมันนั้นใหญ่หลวงนัก และนั่นคือราคาที่คุณต้องจ่าย ไม่ว่าจะอยากจ่ายหรือไม่ก็ตาม ใช่ครับ! เข้าใจที่ผมจะสื่อใช่ไหม และไม่ว่าเราจะตั้งใจหรือไม่ สไตล์ที่เรา ‘เลือก’ ที่จะแสดงออกมานั้น มันส่งผลต่ออารมณ์ของเรา และคนรอบข้างอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

และห้า การที่แต่งตัวแบบเดิมทุกวัน เขาเอง ไม่เคยเบื่อตัวเองในอารมณ์เดิมๆ เลยเหรอ ถามจริงๆ

ผมค่อนข้างเชื่อครับว่า คนเหล่านั้น คงไม่เบื่อตัวเองหรอกครับ เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาเลือกแล้ว และสำหรับเขา เป็นได้ว่า การแต่งกายแบบนั้น ช่วยปลอบประโลมหัวใจเขาเช่นกัน เหมือนกันกับที่ผมก็เลือกแล้วว่า การแต่งตัวอย่างพิถีพิถัน คือหนึ่งในความสุขของชีวิต ไม่ใช่กิจกรรมที่เสียเวลา แต่เป็นกิจกรรมที่คุ้มค่ากับทุกวินาทีที่เสียไปมากๆ และเป็นการรีเซ็ตอารมณ์ตัวเองให้พร้อมเริ่มต้นเช้าวันใหม่ มันออกฤทธิ์แรงและชวนเสพติดพอๆ กับอเมริกาโน่ที่ผมต้องดื่มทุกเช้านั่นแหละครับ

แล้วมันปลอบประโลมหัวใจยังไง


อาจไม่ใช่การปลอบประโลมในความหมายว่า ปลอบใจ เสียทีเดียวครับ เพราะการปลอบใจจะได้ผลยิ่งนักก็ต่อเมื่อ เราผิดหวัง เศร้าใจ หรือเจ็บช้ำน้ำใจ การแต่งตัวคงไม่ได้ช่วยให้หายเจ็บใจหรือไม่ผิดหวัง แต่อย่างน้อย สำหรับผม มันปลอบประโลมในความหมายว่า ทำให้ผม ‘รู้สึกดีกับตัวเอง’ มากขึ้น

สำคัญนะครับ เมื่อรู้สึกดีกับตัวเอง คือก้าวแรกของการเริ่มรู้จักรักตัวเอง ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่ต้องทำให้ได้ ก่อนที่จะก้าวออกไปรักคนอื่น

อย่างสถานการณ์หนึ่งที่ค่อนข้างชัดมากสำหรับตัวผมคือ ผมลาออกจากงานประจำที่ทำมา 3 ปี และกำลังไปได้สวย

ใช่ครับ ฟังไม่ผิด ผมลาออกจากงานประจำที่เงินเดือนดี งานประจำที่ผมสามารถทำต่อไปได้เรื่อยๆ

และใช่ครับ ฟังไม่ผิด ผมต้องออกไปรับงานเอง วางแผนงานเอง เป็นนายตัวเอง และทำงานอยู่ที่บ้านเป็นหลัก

แม้จะเตรียมตัว เตรียมตัง และเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว แต่ช่วงอาทิตย์แรกๆ หลังออกจากงาน ผมจำได้เลยครับว่า ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนเล่นโรลเลอร์โคสเตอร์เลย วันแรกๆ ที่ออกจากงาน ผมโล่งใจ ไม่กี่ชั่วโมงถัดไป ใจผมร้อนรน เข้าวันที่สาม ผมเริ่มรู้สึกเหมือนคนเป็นโรคซึมเศร้าอ่อนๆ สิ่งที่เคยคิดว่ารักและอยากจะทำมันให้ดี ผมกลับเริ่มชังมัน ไม่ยากมองมัน ไม่อยากทำมัน มองคอมเบื้องหน้าอย่างหดหู่ ไม่รู้ว่าจะบงการชีวิตตัวเองยังไง ผมเริ่มกังขาในความสามารถของตัวเอง จากที่เคยคิดว่าเราเองก็มีดี เรามีความตั้งใจ เรามีสิ่งที่อยากทำ อยากทุ่มทั้งใจไปกับมัน ตอนนี้กลับรู้สึกว่า เรามันก็แค่คนที่หลงตัวเองไปว่าเรามีดี ทั้งที่จริงๆ แล้ว ไม่มีใครต้องการความสามารถนั้นหรอก เราเองยังไม่ต้องการมันเลย

หนักเข้า ผมเริ่มไม่อยากมองหน้าตัวเอง


และหลายครั้ง สมองมันแฟลชแบ็คกลับไปเห็นตัวเองในวินาทีที่ตัดสินใจไปบอกหัวหน้างานว่า พี่ครับ ผมต้องไปแล้วนะครับ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง และใจเจ้ากรรมดันคิดด้วยซ้ำครับว่า จริงๆ ถ้าย้อนกลับไปได้ วันรุ่งขึ้น ผมควรจะเดินไปบอกหัวหน้างานว่า พี่ครับ ช่วยลืมเหตุการณ์เมื่อวานไปได้ไหมครับ ที่ผมพูดไปทั้งหมดนั้น ผมเมา

แต่จะเมาอะไรล่ะครับ เพราะในใจลึกๆ ผมรู้ดีว่าการตัดสินใจครั้งนั้น ไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบ แต่เป็นสิ่งที่คิดแล้วคิดอีก ประเมินความเสี่ยงครั้งแล้วครั้งเล่าจนแน่ใจกับตัวเองแล้วว่า แม้จะเสี่ยง แต่ถึงเวลาแล้วครับที่ผมต้องเดินต่อไปตามทางของตัวเอง

เช้าวันหนึ่ง ระหว่างโกนหนวด ผมเห็นหน้าตัวเองครับ ถ้าจะพูดให้ถูก ผมเห็นสารรูปตัวเองมากกว่า ดูไม่ได้เลย

จริงอยู่ที่ตอนนี้ ผมคล้ายเป็นคนว่างงาน แต่ผมไม่ได้ตัดสินใจออกจากงาน เพื่อมาว่างงานแบบนี้ ทางทฤษฎี ผมอาจดูว่าง แต่ทางปฏิบัติคือผมไม่ควรว่างเลย ผมต้องไม่ว่างเลยมากกว่า

การจะออกมาเป็นนายตัวเอง มันจะว่างได้ยังไงกัน?

“ต้องเชื่อมั่น ห้าม doubt ตัวเอง ห้ามคิดว่าตัวเองกระจอกเด็ดขาด” เสียงเพื่อนรักบางคนดังก้องเข้ามาในกะโหลกของผม และมันดังพอที่จะกระตุกสายตาให้ผมกล้ามองตัวเองใหม่

วินาทีนั้น ผมต้องเปลี่ยน และสิ่งแรกที่ผมเปลี่ยนคือ


เริ่มแต่งตัวเสมือนว่าผมคือคนๆ นั้นจริงๆ คนที่ได้เป็นนายตัวเอง คนที่ทำตามฝันอย่างกล้าหาญ (แม้จะยังเป็นฝันเล็กๆ และยังห่างไกลความสำเร็จ) คนที่สู้ยิบตา และคนที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองกระจอก

ผมกลายเป็นผม ที่ผมเคยเชื่อมั่น

ลืมเสื้อยืดย้วยๆ กับกางเกงบอลปลดเกษียณที่ผมเคยใส่นอนไปได้เลยครับ มันสบายก็จริง แต่ผมตัดสินใจบอกลามันถาวร และบังคับตัวเองให้แต่งตัวเสมือนออกไปทำงานทุกเช้า

แม้จะเป็นงานที่มีออฟฟิศคือแค่เปิดประตูออกจากห้องนอน แต่มันคืองานที่มีเกียรติ คู่ควรให้ผมเลือกสวมยีนส์ เชิ้ตเฟรนช์คัฟตัวเก่ง กลัดคัฟลิงค์ระยับราวกับจะไปโชว์ข้อมือให้คู่ค้าเห็นยามจรดปากกาเซ็นสัญญาหลายล้าน สวมแจ็คเก็ตสีครีมซึ่งแยกใส่ออกมาจากชุดสูทที่ผมใส่ในวันแต่งงาน มันระลึกว่า ในวันนั้น ผมกุมมือคนรักเข้าประตูวิวาห์และสัญญาจะดูแลเธอไปทั้งชีวิต มาวันนี้ นี่คือโอกาสที่ผมจะได้ทำตามสัญญานั้นอย่างลูกผู้ชาย รักษาสัญญาที่ให้ไว้ ไม่ให้เป็นแค่ลมปากลอยๆ และกุมมือเธอ ด้วยแขนที่สวมแจ็คเก็ตตัวเดียวกันนี้ ให้เดินไปมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมให้ได้

ผมรู้สึกดีขึ้น เพราะผมเชื่อว่าผมเป็นคนๆ นั้นได้ และอยู่ในสภาพที่คู่ควรกับมัน

อย่าเข้าใจผมผิด ผมไม่ได้เชิญชวนให้แต่งเต็มอยู่บ้าน


ให้ใส่สูทผูกไทเหมือนสมัยเป็นพนักงานขายคงไม่ไหว (ยกเว้นว่านั่นคือสิ่งที่คุณอยากทำ) เพราะความจริงคือ ผมอยู่บ้านครับ แต่ผมแค่อยากจะทำให้การอยู่บ้านนับจากนี้ ไม่ใช่การอยู่ในชุดนอน กางเกงย้วยๆ น้ำไม่อาบ ฟันไม่แปรง แบบนั้นมันไร้ชีวิตชีวา

และผมไม่ได้เชียร์ให้คุณยึดติดกับเสื้อผ้านะครับ มันก็แค่ของนอกกายที่เข้ามาช่วยเสริมบุคคลิกของคุณ ก็เท่านั้น ผมไม่เคยยอมให้เสื้อผ้าเข้ามาควบคุมความรู้สึก และจะไม่มีวัน ผมไม่เคยต้องรอให้ตัวเองได้ใส่เสื้อผ้าดีๆ ก่อน จึงจะรู้สึกดีกับตัวเอง ไม่เลยครับ เพราะผมรู้ดีว่า ผมต้องเชียร์อัพตัวเองด้วยตัวเองให้ได้ ปลุกความรู้สึกตื่นตัวในการใช้ชีวิตให้กับตัวเองให้ได้ และแล้วใช้ความรู้สึกนั้น ขับเคลื่อนให้ตัวเองเลือกสรรสิ่งที่คู่ควรกับชีวิตดีๆ ของตัวเองตอนนี้ คู่ควรกับชีวิตเยี่ยมๆ ที่อยากจะมี และเลือกให้สมศักดิ์ศรีคนที่ต้องไปถึงเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอนในสักวัน และแสดงมันออกมาผ่านการแต่งตัว ผ่านสไตล์ที่กลั่นกรองจากการตรวจทานความรู้สึกของตัวเองในทุกๆ วัน และทำมันอย่างพิถีพิถันในทุกๆ เช้าวันใหม่

ผมคิดอย่างนั้นนะ

มันคือความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเสื้อผ้า


มันคือสไตล์ที่เกิดจากการทำความเข้าใจตัวเอง มันคือการยอมรับตัวเอง และให้เกียรติตัวเอง ด้วยการทำให้ตัวเองอยู่ในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดในทุกๆ สถานการณ์ และตอนนี้ ไม่ใช่แค่ตัวเองรู้สึกดี แต่จะเกิดอะไรขึ้นครับถ้าคนที่พบผม รู้สึกเกิดแรงบันดาลใจและได้พลังงานดีๆ ไปกับการแต่งตัวที่ผมแสดงออกในวันนั้น

แค่ 5 นาที หลังอาบน้ำ ไม่นานเลยครับที่จะยอมสละเวลาเพื่อการได้คุยกับตัวเองสักนิดว่า วันนี้ อยากสะท้อนคุณค่าอะไร อยากอิมโพรไวส์ชีวิตไปในทางไหน และอยากมอบความรู้สึกอะไรให้คนรอบข้าง

แต่งเสร็จแล้ว อย่าลืมฉีดน้ำหอม สวมแหวนแต่งงาน เข้าไปกอดคนรัก

และอย่าลืม ยิ้มให้คนในกระจกเงาที่คุณเห็นเขาทุกเช้า บอกเขาครับว่า เขาคู่ควรกับสิ่งที่ดีที่สุด สไตล์ที่ดีที่สุด และตัวเขาเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด

“ก็แค่แต่งตัว แต่งๆ ไป จะสำคัญอะไรนักหนา?” เคยมีคนเปรยกับผมไว้อย่างนั้น

ผมแค่ยิ้มเจื่อนๆ และตอบเขาไปว่า “ไม่สำคัญอะไรหรอกครับ มันก็แค่เป็นสิ่งแรกที่คนส่วนมากที่อยู่ในสังคมศิวิไลซ์และฝักใฝ่ในวัฒนธรรมต้องทำทันทีหลังอาบน้ำเสร็จ และคนเราอาบน้ำกันทุกวัน อย่างน้อยวันละสองครั้ง ก็เท่านั้นเอง”

Previous Article Next Article